วิธีเขียน บทความ SEO Content ให้ติดอันดับ Google แบบยั่งยืนระยะยาว

วิธีเขียนบทความ SEO Content ให้ติดอันดับ Google ในหน้าแรก

บทความ SEO

จะว่าไปแล้วการเขียนบทความ SEO หรือ SEO Content ลงเว็บไซต์ ก็เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะเคลมตัวเองว่าเขียนบทความเก่งขั้นเทพแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะถ้าบทความที่เราเขียนไปเป็นแค่บทความธรรมดา คนค้นไม่เจอ ทำให้ไม่มีคนอ่าน !

ซึ่งจะแตกต่างจากการเขียนบทความ SEO เพราะบทความ SEO จะเป็นบทความที่มีการวางคีย์เวิร์ดต่าง ๆ รวมถึงคิดหัวข้อที่ตรงกับความต้องการ User และมีการปรับแต่ง SEO On-Page อื่น ๆ เพิ่มเติม ในแบบที่ตรงกับแนวทาง Google Algorithm 

ในฐานะที่ Fillwrite มีประสบการณ์การรับเขียนบทความ SEO และได้รับโอกาสให้ดูแล SEO บางโปรเจ็ค ก็จะถือโอกาสมาแชร์วิธีเขียนบทความ SEO แบบที่ทำตามได้จริง ๆ ซึ่งผู้อ่านสามารถนำแนวทางเขียนบทความ SEO เหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลยน้า ไม่หวง ๆ

บทความ SEO คืออะไร

บทความ SEO คือ บทความที่เขียนเพื่อมุ่งหวังให้บทความนั้น ๆ ติดอันดับผลการค้นหาใน Google หรือหน้า SERP (Search Engine Result Page) ซึ่งการเขียนบทความ SEO จะแตกต่างจากการเขียนบทความธรรมดาที่ไม่มีการ Focus Keyword เน้นการอ่านทั่วไปเท่านั้น เช่น การเขียนเล่า Story สินค้า, การเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมสินค้าลงเว็บไซต์ Marketplace

เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพกันมากขึ้น Fillwrite ได้สรุปลักษณะเด่น ๆ ของการเขียนบทความ SEO มาให้ดังนี้

  • การเขียนบทความ SEO จะต้องมีการทำ Research Keyword ก่อนเสมอ
  • บทความ SEO ที่เขียนจะต้อง Focus Keyword ว่าบทความ SEO นั้น ๆ เขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร
  • จะเพิ่มความเป็น Specialist ลงไปในบทความ SEO เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
  • บทความ SEO จะแทรกคีย์เวิร์ดหลัก และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (Related Keyword) ลงไปในบทความเสมอ
  • หากเพิ่มภาพประกอบในบทความ SEO จะมีการเพิ่ม Alt Text ให้กับรูปภาพ

ทำไมต้องเขียนบทความ SEO Content

1.เพิ่มความเป็น Specialist ให้กับธุรกิจคุณ

การเขียนบทความ SEO แบบเน้นคุณภาพลงในเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มความเป็น Specialist ให้กับธุรกิจของคุณได้ เพราะ SEO Content ที่คุณทำแบบเน้นคุณภาพ จะช่วยแก้ปัญหาให้กับ User ได้ แถมยังทำให้ User มั่นใจในธุรกิจของคุณได้อีกด้วย ว่าคุณนี่แหละตัวตึง ตัวจริง และน่าเชื่อถือแบบสุด ๆ

เช่น ลองจินตนาการว่าคุณเปิดร้าน Craft Beer และธุรกิจคุณก็มีเว็บไซต์ ซึ่งทางคุณได้ทำบทความ SEO ที่เกี่ยวกับเรื่องเบียร์คราฟต์แบบเน้น ๆ ลงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ User ที่มีความสนใจเรื่องคราฟท์เบียร์พิมพ์คีย์เวิร์ดอะไรเข้ามาก็เจอแต่เว็บไซต์คุณ แบบนี้.. มีความเป็นไปได้สูงที่ User จะมองว่าคุณคือตัวตึงแห่งวงการเบียร์คราฟท์

บทความ SEO เพิ่มความเป็น Specialist ให้กับธุรกิจคุณ

บทความ SEO เพิ่มความเป็น Specialist ให้กับธุรกิจคุณ

2.เพิ่มโอกาสให้ User เจอธุรกิจคุณบน Search Engine

การเขียนบทความ SEO แบบที่ผ่านการทำ Research Keyword บวกกับการปรับแต่ง On-Page SEO จะช่วยส่งเสริมให้บทความ SEO นั้น ๆ มีโอกาสติดหน้าแรก Google ได้ง่ายยิ่งขึ้น ลองนึกภาพดูว่าหากเว็บไซต์ของคุณติดอันดับหน้าแรกในทุกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณจะดีแค่ไหน ?

นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงควรเขียนบทความ SEO ผ่านการทำ Research Keyword ! ยิ่งวัตถุดิบทำเบียร์มีคุณภาพมากแค่ไหน ก็ยิ่งมีส่วนช่วยให้เบียร์ของคุณมีเปอร์เซนต์ความอร่อยมากขึ้นตามไปด้วย

บทความ SEO เพิ่มโอกาสให้ User เจอธุรกิจคุณบน Search Engine

3.มีโอกาสแปลงยอด Traffic เป็น Conversion

การทำ SEO Content ให้เหมาะกับ Search Intent เช่น ทำบทความ SEO ที่มี Focus Keyword เป็น ‘คราฟท์เบียร์ ราคา’ และมีการเขียนบทความ SEO ให้อยู่ในรูปแบบของการงานนำเสนอ-ขายสินค้า ในแบบที่มีการระบุราคาคราฟท์เบียร์ลงไป แบบนี้.. มีความเป็นไปได้ที่จะแปลงยอด Traffic เป็นยอด Conversion

หากมีการเขียนบทความ SEO ตามแนวทาง และมีการปรับ SEO On-Page ร่วมด้วย เวลาที่ User ค้นหาคีย์เวิร์ด‘คราฟท์เบียร์ ราคา’ แล้วเจอเว็บไซต์คุณอยู่ในหน้าแรก หากกดเข้าเว็บไปอ่านแล้วเนื้อหาตอบโจทย์ ราคาเบียร์สมเหตุสมผล มีรสชาติเบียร์ที่โดนใจ ก็มีความเป็นไปได้ว่าที่ User จะติดต่อคุณเพื่อสอบถามหรือสั่งซื้อเบียร์คราฟต์กับคุณ

การทำบทความ SEO เพิ่มโอกาสแปลงยอด Traffic เป็น Conversion

ทำบทความ SEO ช่วยเพิ่มโอกาสแปลงยอด Traffic เป็น Conversion

ความแตกต่างของบทความทั่วไป และ การเขียนบทความ SEO

Recap แบบเข้าใจง่าย ๆ บทความทั่วไป และ บทความ SEO แตกต่างกันอย่างไร

บทความทั่วไป : เป็นการเขียนแบบปกติ ไม่มีการทำ Research Keyword หรือไม่มีการแทรกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องลงในบทความ 

บทความ SEO : จะมีการทำ Research Keyword เพื่อเฟ้นหาหัวข้อ และคำที่เกี่ยวข้องในบทความนั้น ๆ นอกจากนี้จะมีการแทรกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องลงในบทความ และบทความ SEO ที่เขียนจะ Focus แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น มีการกระจายคีย์เวิร์ดหลักในเปอร์เซ็นต์ที่เหมาะสม เน้นบทความที่เป็น Specialist ตาม Guideline E-E-T-A ที่ทาง Google มีการอัปเดต

ก่อนเขียนบทความ SEO มีอะไรบ้างที่จำเป็นต้องรู้

1.บทความ SEO ที่เขียนต้องมีคีย์เวิร์ดเสมอ

การเขียนบทความ SEO ให้ได้คุณภาพในแบบที่ส่งผลดีต่อ Google จำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ดหลัก รวมถึงคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องแทรกอยู่ในบทความด้วยเสมอ 

แล้วเราจะเอาคีย์เวิร์ดมากจากไหนล่ะ ?

เราสามารถเอาคีย์เวิร์ดเหล่านั้นจากผู้ว่าจ้างเขียนบทความได้ หรือหากผู้ว่าจ้างไม่มีคีย์เวิร์ดมาให้ เราอาจจะคิดเงินค่าบริการทำ Research Keyword เพิ่มเติม แบบที่ทาง Fillwrite ทำ ซึ่ง Fillwrite จะหาคีย์เวิร์ดก่อนเขียนบทความผ่าน Google Keyword Planner แต่หากใครไม่มีงบยิง Ads สามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Ubersuggest ได้เช่นกัน

Ubersuggest เครื่องมือค้นหา Research Keyword ก่อนทำบทความ SEO

Ubersuggest เครื่องมือค้นหา Research Keyword ก่อนทำบทความ SEO

2.เขียนบทความ SEO โดยใช้คีย์เวิร์ดที่มีจำนวนคนค้นหา

การเขียนบทความ SEO ให้ติดหน้าแรก Google จะมีประโยชน์อะไรถ้าบทความที่เราเขียนไม่เป็นที่ต้องการของผู้อ่าน !

ก่อนที่จะเขียนบทความ SEO เรื่องไหน ๆ ก็ตาม อยู่ลืมว่าบทความที่เขียนต้องใช้คีย์เวิร์ดที่มีคนค้นหา หรือเป็นคีย์เวิร์ดแนะนำว่าคีย์เวิร์ดนี้นะกำลังเป็นที่สนใจ และเป็นที่ต้องการ

สามารถหาเช็คจำนวนคนค้นหาคีย์เวิร์ดได้ผ่านการใช้ Ubersuggest,  Keyword Planner หรือจะเขียนบทความ SEO โดยเลือกหัวข้อจากการค้นหาที่เกี่ยวข้องที่อยู่ด้านล่างในหน้า SERP ได้เช่นกัน

relate keyword นำไปใช้ทำบทความ SEO ได้

Relate Keyword ในหน้า SERPs นำไปใช้ทำบทความ SEO ได้

3.ทำความเข้าใจเรื่องการ Research Keyword

พูดแบบเข้าใจง่าย ๆ การทำ Research Keyword คือ การวิเคราะห์ แยกกลุ่มคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่าง ๆ เพื่อเช็คดูว่าเราควรเขียนบทความโดยใช้คีย์เวิร์ดไหนเป็นตัวตั้ง โดยดูที่จำนวนคนค้นหาเป็นหลัก 

และอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ว่าการเขียนบทความ SEO จะมีการแทรกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องไปด้วยทำให้จำเป็นต้องทำ Research Keyword แยกเป็นประเภทด้วย ว่าควรใช้คีย์เวิร์ดไหนสอดแทรกเข้าไปเมื่อเขียนบทความ SEO

เขียนบทความ seo ควรทำความเข้าใจเรื่องการ Research Keyword

4.เข้าใจเรื่องการใช้ Search Intent

หลายคนอาจจะมองว่าการใช้ Search Intent สำคัญกับการเขียนบทความ SEO ด้วยหรอ ? แม้ว่าการเขียนบทความ SEO จะเป็นการบอกเล่าข้อมูลต่าง ๆ ผ่านตัวอักษร แต่หากต้องการให้บทความ SEO นำไปใช้ต่อได้แบบมีประสิทธิภาพก็ควรรู้เรื่องของ Search Intent ด้วยเช่นกัน

Search Intent คือ จุดประสงค์ที่ User ค้นหา เช่น พิมพ์คีย์เวิร์ดว่า ‘ซื้อรองเท้าแตะ Adidas’ แน่นอนว่า User ต้องการที่จะซื้อ เราจึงควรเขียนบทความ SEO ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเน้นขาย แสดงจุดเด่นการขาย มีใส่ราคาสินค้า ฯลฯ 

ไม่ใช่ไปเวิ่นเว้อว่ารองเท้าแตะ Adidas คืออะไร มีวิธีการสร้างอย่างไรบ้าง การทำความเข้าใจเรื่อง Search Intent จะช่วยให้เราสามารถเขียนบทความ SEO ได้เหมาะสม โดยมุ่งเขียนเนื้อหาให้เหมาะกับการทำหน้าเว็บสำหรับขายสินค้า

Search Intent ของคีย์เวิร์ดซื้อรองเท้าแตะ Adidas

Search Intent ของคีย์เวิร์ดซื้อรองเท้าแตะ Adidas

วิธีเขียนบทความ SEO ให้ติดอันดับ Google ต้องทำอย่างไร

Fillwrite ขอแนะนำวิธีเขียนบทความ SEO ให้ติดอันดับ Google ในแบบที่ทำตามได้จริงดังนี้

1.หาหัวเรื่องที่จะเขียนบทความ SEO

ก่อนจะเขียนบทความอะไรก็ตาม จำเป็นต้องเลือกหัวข้อที่จะเขียนก่อนเสมอ เพราะจะได้ Focus ได้ถูกต้อง ตัวอย่างที่จะใช้เปรียบเทียบ คือ ต้องการเขียนบทความเกี่ยวกับ ‘คราฟเบียร์ คืออะไร’

2.ทำ Research Keyword เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน

พอเลือกได้แล้วว่าต้องการเขียนบทความเกี่ยวกับคราฟเบียร์ ต่อมาที่จะทำ คือ ทำ Research Keyword เรื่องคราฟเบียร์ คืออะไร เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคราฟเบียร์ 

ทริคสำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ด คือ อาจจะลองสุ่ม ๆ เดาดูว่าคนน่าจะพิมพ์คำค้นหาว่าอะไร เช่น beer craft คือ, คราฟต์เบียร์ คือ ฯลฯ จากนั้นให้นำคำที่คิดเอาไว้แล้ว ไปค้นหาคีย์เวิร์ดที่แท้จริงผ่านเครื่องมืออย่าง Ubersuggest หรือ Keyword Planner

ในตัวอย่างจะใช้ Google Keyword Planner ในการค้นหา Search Volume และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

คีย์เวิร์ด คราฟท์เบียร์ คืออะไร ทำ Research Keyword ผ่าน Keyword Planner

ทำ Research Keyword ผ่าน Keyword Planner

3.เช็ค Search Intent ว่าควรเขียนบทความแบบไหน

ต่อมาให้เช็คดูว่าคีย์เวิร์ดที่เราเลือกมาเขียนบทความ SEO มี Search Intent เป็นแบบไหน เช่น แบบหน้า Page Service, หน้าหมวดหมู่สินค้า, หน้าสินค้า, หน้าบทความ ฯลฯ

วิธีที่ Fillwrite ใช้เช็ค Search Intent ก็ง่ายมาก คือ นำคีย์เวิร์ดไปค้นหาหน้าแรกบน Google จากนั้นให้ดูเว็บทั้งหมดที่ติดในหน้าแรก Google ว่าเขาทำเนื้อหาเป็น Search Intent แบบไหน

อย่างในเคสนี้ คีย์เวิร์ด ‘คราฟต์เบียร์ คือ’ มีคนค้นหาเฉลี่ย 1,600 ครั้ง/เดือน 

Search Intent ส่วนใหญ่ในหน้าแรก Google จะเป็นแบบหน้าบทความ (Post)

เช็ค Search Intent ก่อนเขียนบทความเรื่องคราฟต์เบียร์ คืออะไร

เช็ค Search Intent ก่อนเขียนบทความเรื่องคราฟต์เบียร์ คืออะไร

4.เขียนบทความ SEO พร้อมใส่คีย์เวิร์ดในบทความ

ต่อมาให้ลงมือเขียนบทความ SEO ทันที เน้นเขียนบทความ SEO แบบที่อ่านแล้วเป็นธรรมชาติ ไม่สแปมคีย์เวิร์ด มีการแทรกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องลงไปด้วยเสมอ และอย่าลืมว่าบทความ SEO ที่เขียนต้องใส่ความเป็น Specialist ลงไปด้วยเช่นกัน 

ซึ่งจุดสำคัญที่ควรใส่คีย์เวิร์ดเมื่อเขียนบทความ SEO มีดังนี้

ชื่อบทความ – ต้องใส่คีย์เวิร์ดหลักเอาไว้เสมอ และอาจจะมีแทรกคีย์เวิร์ดใกล้เคียงที่มีปริมาณค้นหาลดหลั่นลงมาเพิ่มเข้าไปด้วย เช่น คราฟต์เบียร์ (Craft Beer) คืออะไร มีกี่ประเภทอะไรบ้าง ?

ตัวอย่างการตั้งชื่อการเขียนบทความ SEO

ตัวอย่างการตั้งชื่อการเขียนบทความ SEO

Title – เป็นชื่อที่จะแสดงบนหน้า SERP ซึ่งไม่ควรตั้งชื่อให้เหมือนกับชื่อบทความ และต้องมีความยาวที่เหมาะสม โดยอาจจะใช้ Yoast SEO ที่ติดตั้งใน WordPress เพื่อใช้เช็คจำนวนความยาว 

และการเขียน Title จำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ดหลักเสมอ หากเป็นไปได้ให้อยู่ในตำแหน่งหน้าสุด เช่น คราฟต์เบียร์ คืออะไร มีอะไรบ้าง ถูกกฎหมายในไทยแค่ไหน

Description – เป็นส่วนที่จะแสดงในหน้า SERP เช่นเดียวกับ Title แต่จะเป็นการเขียนอธิบายขยายความเพื่อให้ Google หรือ Search Engine ทราบว่าบทความ SEO ที่เราเขียนเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร

ซึ่งการเขียน Description บทความ SEO ควรเน้นเขียนแบบบรรยาย ไม่สแปมคีย์เวิร์ด กระชับ รัดกุม มีการแทรกคีย์เวิร์ดหลัก และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในลักษณะการผสมคำเข้าไปด้วย หากเขียนบทความ SEO ลง WordPress เราสามารถเช็คความยาวของ Description ผ่าน Plugin Yoast SEO

Slug – เป็นชื่อต่อท้ายจากเว็บไซต์เรา เช่น craft-beer

แม้ว่าการใช้ Slug จะใช้เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ แต่หากให้แนะนำจากใจ Fillwrite ขอแนะนำให้ใช้ Slug เป็นภาษาอังกฤษ และมีการแทรกคีย์เวิร์ดที่เป็นภาษาอังกฤษเข้าไปแบบตัวอย่างข้างต้น

ตัวอย่างการเขียน Title, Description, Slug ในบทความ SEO

ตัวอย่างการเขียน Title, Description, Slug ในบทความ SEO

Headings – เป็นหัวข้อต่าง ๆ ที่เราพูดถึงในบทความ SEO นี่แหละค่ะ เราใช้ Heading เพื่อให้ระบบ Search Engine รู้ว่าบทความ SEO ที่เราเขียนมีการพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง หัวข้อไหนมีความสำคัญ 

ปล.ส่วนใหญ่แล้วเวลาเขียนบทความ SEO จะใช้ Heading สูงสุดแค่ H3 นาน ๆ จะมี H4 ขึ้นมาสักที

ตัวอย่างการใช้ Headings ในบทความ SEO

ตัวอย่างการใช้ Headings ในบทความ SEO

ชื่อภาพ และ Alt Text – หากต้องการให้ภาพในบทความ SEO ติด Google Image Search  เราควรใส่ Alt Text และตั้งชื่อภาพโดยใช้คีย์เวิร์ดด้วย เพื่อเป็นการบอก Google ว่าภาพนี้คือภาพอะไร เพราะ Google จะไม่สามารถมองเห็นภาพแบบที่เรามองได้ Google Bot จะมองเห็นภาพผ่าน Coding เท่านั้น

ชื่อภาพ เช่น คราฟต์เบียร์ คืออะไร

Alt Text เช่น Craft beer หรือ คราฟต์เบียร์ คือ เบียร์หมักทำมือที่ผ่านการใช้วัตถุดิบต่าง ๆ 

Alt Text สิ่งที่ Google มองเห็นในบทความ SEO

ในบทความ SEO Google จะเข้าใจภาพว่าภาพนี้คืออะไรผ่านการใช้ Alt Text

เนื้อหาภายในบทความ – อย่าลืมที่จะแทรกคีย์เวิร์ดหลัก และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเข้าไปในบทความ SEO โดยมีการกระจายคีย์เวิร์ดให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่สแปมคีย์เวิร์ดจนดูโป๊ะและปลอม เน้นความอ่านง่าย สบายตาจาก User เป็นหลัก

จะว่าไปการเขียนบทความ SEO ให้เป็นธรรมชาตินี่แหละที่อยากสุด ๆ เพราะต้องเอาใจทั้ง Google และ User ในเวลาเดียวกัน

5.เขียนบทความ SEO อัปเดตลงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ

หากไม่มีการอัปเดตบทความ SEO อย่างสม่ำเสมอก็ยากที่ Google จะมองว่าคุณเป็น Specialist ในเรื่องนั้น ๆ การอัปเดตบทความ SEO ที่มีคุณภาพเป็นประจำ จะช่วยให้ทำ Google มองว่าคุณนี่แหละคือตัวจริง เสียจริง เป็นตัวตึงในด้านนั้น ๆ ซึ่งหาก Google เก็บมอบโล่ดีเด่นให้คุณแล้ว แน่นอนว่าจะส่งผลต่อการทำ SEO ในธุรกิจของคุณด้วยเช่นกัน ชั่วโมงบินดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

เขียนบทความ SEO ความยาวคำเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด

หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยิน ได้อ่านผ่าน ๆ มา ว่าการเขียนบทความ SEO ที่ดี จำนวนคำความยาวของบทความต้องมากกว่า 1,000 คำ ห้ามน้อยกว่า หรือต่ำกว่านี้เด็ดขาด !

แต่จากประสบการณ์การเขียนบทความ SEO มาตั้งแต่อายุ 20 ปี ต้องบอกว่าการเขียนบทความ SEO ในยุคนี้ Fillwrite รู้สึกว่าจำนวนคำความยาวไม่สำคัญสักเท่าไหร่ เพราะบางบทความ บางคีย์เวิร์ด จำนวนความยาวของบทความ SEO แค่ 500 คำ ก็ติดอันดับหน้าแรก Google ได้เลย (ขึ้นอยู่กับการแข่งขันในคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ด้วย)

แล้วควรเขียนบทความ SEO ความยาวเท่าไหร่ดี ?

คำตอบ คือ ไม่มีคำตอบตายตัวเลยค่ะ เช่น หากเขียนบทความเรื่องคราฟเบียร์แตกต่างจากเบียร์สิงห์อย่างไร ? แน่นอนว่าบทความ SEO ที่ทำก็ควรเขียนเนื้อหาในแบบที่มีการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนให้คนอ่านได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างคราฟท์เบียร์กับเบียร์สิงห์

คุณไม่จำเป็นจะต้องลากยาวประวัติเบียร์ทั้งคู่ว่าเป็นยังไง ใครเป็นคนทำคนแรก ใครเป็นเจ้าของ โรงงานผลิตที่ไหน ขอเพียงแค่ในบทความนี้คุณมีการเปรียบเทียบความแตกต่างที่ชัดเจนแบบจริงใจ ตรงไปตรงมา ถ่ายทอดบทความ SEO ออกมาให้เป็น Specialist ใช้เทคนิคการเขียนบทความ SEO ตามแนวทางที่เราได้แนะนำ เพียงเท่านี้บทความ SEO ที่คุณเขียนก็มีโอกาสในการติดอันดับ Google แล้วค่ะ ยิ่งมีทีมงานรับทำ SEO ที่เชี่ยวชาญด้านการปรับ On-Page มาช่วยเสริมทัพ บอกเลยว่าบทความ SEO ที่เขียนก็มีขึ้นหน้าแรกไปมากกว่า 70% 

ตัวอย่างบทความ SEO ที่ติดอันดับใน Google

ขอยกตัวอย่างบทความ SEO จากเว็บไซต์สุขภาพ healthsturdy.com ซึ่งเป็นเว็บในเครือของ Fillwrite ก็แล้วกันค่ะ

ตัวอย่างบทความhttps://healthsturdy.com/wash-hair-every-day-lice-disappear/ 

Focus Keyword – สระผมทุกวันเหาหายไหม คำค้นหาเฉลี่ย 1,300 ครั้ง/เดือน (Update 30/09/2023)

Focus Keyword ในบทความ SEO สระผมทุกวันเหาหายไหม

คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับบทความเรื่องสระผมทุกวันเหาหายไหม

ชื่อบทความ – เป็นเหาต้องรู้ ! สระผมทุกวันเหาหายไหม ช่วยกำจัดเหาได้มาก-น้อยแค่ไหนกันแน่ ?

ชื่อบทความ seo เป็นเหาต้องรู้ สระผมทุกวันเหาหายไหม
ชื่อบทความ SEO มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

Heading – มีการใช้ Heading ที่สอดแทรกคีย์เวิร์ด

ตัวอย่างการใช้ Heading ในบทความ SEO เว็บ Healthsturdy

ตัวอย่างการใช้ Heading ในบทความ SEO เว็บ Healthsturdy

Title + Description + Slug – มีการแทรกคีย์เวิร์ดไว้ในตำแหน่งตาม Guideline ที่เราได้แนะนำไปแล้ว

ส่วนการแทรกคีย์เวิร์ดในทความ SEO สามารถเข้าไปอ่านแล้วสังเกตกันเองต่อได้เลยน้า จะได้เข้าใจ และเห็นภาพกันมากขึ้น พิมพ์อธิบายทั้งหมดไม่ไหวจรีง ๆ ค่า

การตั้งชื่อ Title + Description + Slug ในบทความ SEO

การตั้งชื่อ Title + Description + Slug ในบทความ SEO

เขียนบทความ SEO ลงเว็บไซต์ไปแล้ว จะติดหน้าแรก Google ทันทีหรือไม่

จะว่าไปคนสงสัยเยอะเหมือนกันว่าจ้างเขียนบทความ SEO ไปแล้ว เว็บจะติดหน้าแรก Google เลยหรือไม่ ในเมื่อค่าจ้างเขียนบทความ SEO ก็แพงกว่าบทความทั่วไป ?

จากประสบการณ์ Fillwrite สามารถตอบได้ 2 แบบตามนี้ค่ะ

1.มีโอกาสติดหน้าแรกทันที – ถ้าบทความ SEO เขียนถูกต้องตามแนวทางที่ Google ต้องการ และคีย์เวิร์ดนั้น ๆ มีการแข่งขันทำ SEO น้อย หรือไม่มีคู่แข่งเลยสักเจ้า

2.ยังไม่ขึ้นในหน้าแรก Google ในทันที – เพราะคีย์เวิร์ดนั้น ๆ มีการแข่งขันทำ SEO ระดับกลาง ไปค่อนข้างสูง 

อย่าลืมว่าการเขียนบทความ SEO เป็นเหมือนการเตรียมวัตถุดิบเท่านั้น ที่ยังไม่มีการปรับ On-Page ซึ่งเปรียบเหมือนกับขั้นตอนการหมักเบียร์เลยค่ะ การที่บทความ SEO (ที่มีการแข่งขันสููง) จะติดหน้าแรก Google ได้ จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านการทำ SEO เข้ามาช่วย 

ตัวอย่างภาพบทความ SEO ที่ลงเว็บไซต์ไปแล้ว

ตัวอย่างภาพบทความ SEO ที่ Fillwrite ปรับ On-Page ไปแล้วในแต่ละคีย์เวิร์ด

การที่เบียร์คราฟ์ออกมามีรสชาติอร่อยก็เหมือนกับการที่เว็บเราติดหน้าแรก Google ที่ต้องมีการปรุง การบ่ม การหมักเบียร์อย่างเชี่ยวชาญและเหมาะสม เว็บไซต์ของเราก็เช่นกันค่ะ การทำบทความ SEO เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง !

จะว่าไปแล้วบทความนี้ค่อนข้างยาวกว่าที่คิด แต่ Fillwrite เองก็เขียนออกมาจากประสบการณ์ที่มี เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ Real และครบถ้วนมากที่สุด 

การเขียนบทความ SEO ให้ได้คุณภาพจริง ๆ จากมุมมองของนักทำ SEO มืออาชีพที่เรารู้จัก จำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีการเขียนบทความ SEO โดยใช้คีย์เวิร์ดที่ผ่านการทำ Research รวมถึงมีการแทรกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง มีการกระจายตัวของคีย์เวิร์ดหลักอย่างเหมาะสม (ห้าม Spam เด็ดขาด !) บทความ SEO ต้องเป็นธรรมชาติ อ่านแล้วเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อ และต้องเพิ่มความเป็น Specialist ลงไปด้วยเสมอ

สุดท้ายแล้วก็แวะขายของสักหน่อย ใครที่ต้องการหาคนช่วยเขียนบทความ SEO แบบแบ่งตามบทความ หรือเขียนบทความรายเดือนพร้อมทำ Research Keyword ก็สามารถติดต่อ Fillwrite ผ่านทาง Line หรือ Messenger ได้น้า หากไม่แน่ใจในฝีมือก็ทักส่วนตัวมาขอดูผลงานได้ จะเข้าไปติดตามข้อมูลการอัปเดตต่าง ๆ ผ่านทาง Facebook Page ก็ได้เช่นกันค่ะ ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่ะที่อ่านมาถึงตรงนี้

ขอให้ผู้อ่านทุกคนมีช่วงเวลาที่ดีค่ะ